[BTW] The Visitor

The Visitor

(Published on 23 December, 2014)

 

 

ทิวทัศน์รอบข้างยังคงให้ความรู้สึกคุ้นเคยแม้ว่าจะผ่านไปแล้วหลายปี

 

 

ระดับความเร็วของฝีเท้าของม้าเทียมรถที่ย่ำลงบนกรวดและหินของถนนเส้นเล็กค่อยๆช้าลงตามการควบคุมของสารถี รถม้าจอดสนิทลงเบื้องหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ท่ามกลางไม้ผลัดใบสีเหลืองสลับแดง ประตูของตัวรถถูกเปิดออก และหล่อนก็ได้ลงมาเหยียบบนพื้นดินอีกครั้งหลังจากที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ภายในที่แคบๆมาหลายวัน

 

เอเลน่ากำลังยืนรอให้สารถีช่วยจัดการกับสัมภาระเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนดังขึ้น หล่อนหันไปเพื่อเห็นต้นเสียงกำลังเดินมาตามทางเดินเส้นเล็กที่พาไปยังตัวคฤหาสน์ มิชาส่งยิ้มกว้างให้ และเธอยิ้มตอบด้วยความดีใจ

 

“เจ้าผอมลงเยอะเลยนะเอลลี่ องค์ราชินีเลี้ยงเจ้าไม่ดีหรือไง” ลูกพี่ลูกน้องที่ตัวใหญ่ราวกับหมีเอ่ยทักเมื่อเดินมาถึงตัวรถม้า มิชาตัวสูงกว่าหล่อนเท่าตัว ใบหน้ารกไปด้วยหนวดเครา อย่างน้อยเขาก็ดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่นักในเวลายิ้ม

 

หล่อนย่นจมูกน้อยๆ “แล้วมีใครบอกเจ้าบ้างหรือยังว่าเครานั่นยิ่งทำให้เจ้าเหมือนหมีเข้าไปใหญ่”

 

เขาหัวเราะ แม้จะไม่ดังนัก หากมันก็ทำให้สารถีสะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยิน เอเลน่าหันไปขอบคุณเรื่องสัมภาระของตนและจ่ายค่าจ้างขณะที่มิชาเข้ามาช่วยถือสัมภาระให้หล่อน หล่อนค้อมศีรษะน้อยๆเป็นเชิงขอบคุณญาติหนุ่ม ทั้งสองคนเดินแบบไม่รีบร้อนไปตามทางเดิน

 

“แขนของเจ้าไปโดนอะไรมา” เขาถาม บุ้ยใบ้ไปยังแขนซ้ายของหล่อนที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้

 

“อุบัติเหตุนิดหน่อย” หล่อนตอบ เผลอยกมืออีกข้างขึ้นแตะบริเวณผ้าพันแผลที่แขนของตน “ข้าคิดว่าข้าเขียนลงไปในจดหมายซะแล้วอีก”

 

“จดหมายเจ้าน่ะแทบไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเลย เอเลน่า นอกจากเรื่องจลาจลระหว่างการประชุมอะไรนั่นที่คนทั้งสี่แคว้นคงรู้กันหมดแล้ว เจ้าก็บอกแค่ว่าเจ้าจะมาหาเราเท่านั้นเอง” มิชาพูดยาวยืด เอเลน่านึกสงสัยว่าอะไรที่ทำให้พี่ชายที่มักเงียบขรึมเสมอของหล่อนพูดมากเหลือเกินในวันนี้ “พวกข้าเป็นห่วงเจ้ามากนะรู้มั้ย แต่เจ้าก็ไม่คิดจะให้พวกข้ารับรู้อะไรบ้างเลย”

 

“ข้าขอโทษที่ทำให้ต้องเป็นห่วง แต่ว่าไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก” หล่อนยิ้มเป็นเชิงปลอบประโลม “และข้าคิดว่าควรที่จะบอกสาเหตุที่ข้ามาด้วยตัวเองดีกว่าเขียนลงในจดหมายด้วย”

 

เขาส่ายหน้าน้อยๆอย่างไม่เห็นด้วยนัก หากก็ไม่พูดอะไรต่อ เมื่อทั้งสองเดินไปถึงตัวคฤหาสน์ เขาบอกหล่อนว่าจะไปเก็บสัมภาระให้ที่ห้องนอนของหล่อนให้ก่อนแล้วจะไปสมทบที่ห้องรับแขก ห้องที่ทุกคนในบ้านมักไปรวมตัวกันหลังจากมื้อเช้าเสร็จสิ้นลง

 

หล่อนถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่ออกก่อนเดินไปตามทางเดินที่คุ้นเคย เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้นับตั้งแต่อนาสตาซีย่ายืนยันให้หล่อนมาอยู่ที่ตะวันตกแทน ประกาศว่าหลานสาวของนางต้องเจอเรื่องแย่ๆมามากพอแล้ว และตนจะเป็นผู้ดูแลเด็กหญิงต่อเอง

 

สุดทางเดินมีสตรีร่างท้วมนั่งอยู่บนตั่งตัวเล็ก หน้าท้องที่ยื่นนูนออกมาบอกให้รู้ว่าหล่อนกำลังโอบอุ้มอีกชีวิตหนึ่งอยู่ เธอลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่วพร้อมรอยยิ้มน้อยๆน่ารักอยู่บนใบหน้า เอเลน่าบีบมือของญาติสาวที่ยื่นมาหาตนแล้วจูบที่แก้มระเรื่อเบาๆแทนคำทักทาย

 

“ข้าคิดถึงเจ้าจังเลยเอล” ซาช่าพูด นัยน์ตาพราวไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหายไปซะนานเลยเชียว พวกเด็กๆบ่นกันทุกวันตั้งแต่ตอนที่จดหมายมาถึงว่าเมื่อไหร่เอลลี่ของพวกแกจะกลับมาสักที”

 

“พอข้ามาแล้วก็กลับหายไปกันหมด” เอเลน่าว่าพร้อมหัวเราะเบาๆ ซาช่าจูงมือหล่อนเข้าไปภายในตัวห้อง ภายในห้องรับแขกไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยเช่นเดียวกับตัวบ้าน ทั้งจำนวนรูปภาพบนผนัง ตำแหน่งของเครื่องเรือน และคุณย่าเล็กของหล่อนที่กำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้นวมตัวโปรดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าต่างเช่นเคย

 

เลดี้อนาสตาซีย่า วอลเลซยังคงดูสง่างามในวัยเกือบแปดสิบ ดวงตาสีเทาของสตรีสูงวัยยังคงแจ่มใส มือที่เหี่ยวย่นไปตามวันและเวลาวางอยู่บนตัก ซาช่าปล่อยมือของเอเลน่าเพื่อไปเตรียมน้ำชา เอเลน่าเลือกนั่งลงที่เก้าอี้นวมฝั่งตรงข้าม รอจนกระทั่งลูกพี่สาวส่งถ้วยชาให้หญิงชราและหล่อน เธอรีรออยู่อีกสักพักก่อนที่จะเอ่ยขึ้น

 

“คุณย่า…”

 

เลดี้วอลเลซยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้หลานสาวหยุดพูก่อน “อธิบายเรื่องแขนของหลานมาก่อน”

 

หล่อนยิ้มแห้ง “แค่อุบัติเหตุจากจลาจลเท่านั้นเอง คุณย่าเล็กไม่ต้องห่วงข้าหรอก”

 

“ย่ารู้เรื่องนั้นแล้ว ยังดีที่ปลอดภัยกันทั้งหมด” นางว่า ส่งถ้วยชาที่ว่างเปล่าให้ซาช่าที่รินเติม ดวงตาสีเทาใสยังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผู้เป็นหลานสาว “แล้วอะไรที่หลานบอกไม่ได้ในจดหมาย?”

 

เอเลน่าสบตาตอบกับเลดี้วอลเลซขณะที่มือยกถ้วยชาขึ้นจิบ กระแอมเบาๆในลำคอ หล่อนมองไปทางประตูเมื่อมิชาเดินเข้ามาในห้องเงียบๆและนั่งลงที่เก้าอี้ตรงมุมหนึ่ง ในมือถือหนังสือเล่มหนาอยู๋

 

ให้ตายสิ หล่อนควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี

 

เธอกระแอมอีกครั้ง คราวนี้ซาช่าเป็นคนเอ่ยขึ้นแทน “ว่ายังไงหรือเอล อยากได้ยาแก้เจ็บคอมั้ย”

 

ก็ได้ พูดก็ได้

 

“…ข้าไม่รู้ว่าข้าควรที่จะพูดยังไงดี…” หล่อนเริ่มต้น “ข้าไม่อยากจะทำให้ทุกคนตกใจ”

 

เอเลน่าเว้นจังหวะเล็กน้อย สายตามองลงในแก้วชาราวกับมันน่าสนใจที่สุดในห้อง

 

“คือว่า…” หล่อนเลียริมฝีปาก “ข้ากำลังจะออกจากเหนือ…”

 

หล่อนถูกขัดด้วยเสียงของเลดี้วอลเลซ

 

“หลานจะกลับมาอยู่ที่นี่รึ? เห็นมั้ย ย่าบอกไปกี่หนแล้วว่าให้กลับมาอยู่ตะวันตกเนี่ยแหละ ไม่ต้องไปอยู่ในที่หนาวๆแบบนั้นต่อหรอก ปล่อยให้เจ้าเฟรดิชอยู่ที่นั่นไปคนเดียวก็พอแล้ว”

 

“คุณย่าเล็กจะให้ข้าได้พูดหรือเปล่า” เอเลน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ อนาสตาซีย่าค้อนหลานสาวเป็นเชิงตำหนิกับกริยาที่นางจัดว่า‘ไม่งาม’ หญิงสาวดื่มชาจนหมดแล้วจึงว่าต่อ

 

“ข้ากำลังจะแต่งงาน”

 

หล่อนรู้สึกว่าแม้แต่นกที่กำลังส่งเสียงร้องอยู่ภายในป่าก็หยุดเสียงลง

 

ความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงของหนังสือในมือของมิชาที่หล่นลงพื้นดังตุบ และเสียงร้องอย่างดีใจของซาช่า ขณะที่เลดี้วอลเลซพึมพำบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าแล้วหลับตาด้วยความโล่งใจ เอเลน่าอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมทุกคนถึงอยากให้หล่อนแต่งงานให้ได้เสียขนาดนั้น ถึงเธอจะเลยช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการแต่งงานไปหลายปีแล้วก็ตามทีเถอะ

 

ยิ่งพอคิดถึงความจริงว่าหล่อนหมั้นหมายแล้ว และมันกำลังจะนำไปสู่คำว่าการแต่งงานทำให้หล่อนรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นบ้า โดยเฉพาะเมื่อนึกว่าตัวเองเคยประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าจะไม่มีวันรักใครได้ยิ่งทำให้หล่อนกระดากมากกว่าเดิมเสียอีก

 

“หลานรู้มั้ยว่าย่าโล่งใจขนาดไหน พระเจ้าช่วย ในที่สุดหลานก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาเสียที” คุณย่าเล็กของหล่อนว่าอย่างปลาบปลื้ม ความดีใจฉายชัดไปทั่วใบหน้า “ย่ารอที่จะอุ้มเด็กตัวน้อยๆอีกคนแทบไม่ไหวแล้ว”

 

“แค่นี้ยังปวดหัวไม่พออีกหรือคุณย่า เดี๋ยวข้าก็จะมีเด็กคนนี้อีกนะ” ซาช่าหัวเราะพลางลูบที่หน้าท้องโป่งนูน “ว่าแต่เขาเป็นใครกันน่ะเอล เจ้าไม่เห็นเคยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเลยนี่ ใครกันที่ได้ใจเจ้าไปนะ”

 

“เขา…เอ้อ…” หล่อนยกมือลูบที่แก้มของตัวเอง “เขา…เป็นชาวใต้”

 

“ใต้?” มิชาที่ดูจะตั้งสติได้ช้าที่สุดถาม เขาเก็บหนังสือขึ้นมาจากพื้น วางมันลงบนโต๊ะแล้วยกแขนขึ้นกอดอก “เจ้าไปเจอเขายังไงกันเอลลี่”

 

“…เขาเป็น…คนรู้จักของท่านลุง ข้าพบเขาตอนที่คณะทูตของเราไปที่ใต้” พับผ่่าสิ นี่หล่อนกำลังโดนสอบสวนอยู่หรือยังไงกัน “เขาเป็นแม่ทัพของใต้…เซอร์สแตนลีย์ ฟรายเดย์”

 

“แล้วพวกเราจะได้พบกับเขาหรือเปล่า หรือว่าเราจะได้เจอกับเขาตอนที่หลานแต่งงานเลย” เลดี้วอลเลซถาม เลิกคิ้วสีดอกเลาขึ้นน้อยๆ

 

“เอ้อ อันที่จริง…ก่อนที่จะแยกกับเขา ข้าบอกว่าข้าจะกลับมาหาพวกคุณย่าที่นี่ แล้วค่อยให้เขาตามมาทีหลัง” หล่อนตอบ “จริงด้วย ข้าต้องไปส่งจดหมายให้เขาด้วยว่าข้าถึงบ้านแล้ว…”

 

ซาช่ารีบลุกขึ้นยืน “ถ้างั้นเราก็ต้องเตรียมตัวรับแขกแล้วสิ แหม ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าเขาทำยังไงกันนะ เจ้าถึงได้ดูตกหลุมรักหัวปักหัวปำขนาดนี้”

 

เอเลน่ากระพริบตาปริบๆ คุณย่าเล็กหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของหล่อน

 

“โอ หลานรัก หลานน่ะกำลังทำหน้าเหมือนซาช่าตอนที่เฮย์เดนเดินดุ่มๆเข้ามาหาย่าแล้วบอกว่าเขารักแม่สาวคนนี้มากขนาดไหนเลย”

 

พระเจ้าช่วยหล่อนด้วยเถอะ เธออยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ชะมัด

 

เสียงเคาะบนบานประตูไม้และการเข้ามาในห้องรับแขกของแม่บ้านวัยกลางคนดึงความสนใจของทุกคน นางแจ้งกับกับเลดี้วอลเลซด้วยน้ำเสียงสงบนุ่มนวล

 

“มายเลดี้ มีแขกมาพบเจ้าค่ะ”

 

เจ้าบ้านขมวดคิ้ว “วันนี้ไม่มีใครนัดข้าไว้ไม่ใช่หรือ…ว่าไง ซาช่า?”

 

คนถูกถามส่ายหน้า ซาช่าเป็นผู้ที่คอยดูแลเรื่องต่างๆของเลดี้วอลเลซ รวมไปถึงรายชื่อของคนที่มีนัดหมายกับหล่อนด้วย แม่บ้านหันไปมองบริเวณทางโถงทางเดินครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับมายังผู้เป็นนายอีกครั้ง

 

“เขาบอกว่าเขาเป็นคู่หมั้นของเลดี้อิวานอว่าเจ้าค่ะ”

 

 

※※※※※※※※

 

 

เอเลน่านึกสงสัยว่ามิชาตัวใหญ่เกินไป หรือผู้เป็นแม่ทัพของแดนใต้ตัวเล็กเกินไปกันแน่เมื่อหล่อนเห็นทั้งคู่เข้ามาในบริเวณตัวห้องพร้อมกัน เธอจำได้ว่าก่อนที่ตนจะออกเดินทาง เขาบอกกับหล่อนว่าต้องพาองค์เหนือหัวทั้งสองกลับไปที่ใต้ก่อนแล้วถึงจะตามมาพบหล่อนได้

 

แต่หล่อนไม่คิดว่าหล่อนจะได้พบเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้

 

บางทีเธออาจจะเคยชินกับการที่เขามักแต่งกายตามแบบของชนชั้นสูงชาวใต้ไปแล้วก็ได้ เพราะหล่อนรู้สึกว่าเขาดูต่างจากเดิมราวกับคนละคนเมื่อสวมเสื้อผ้าแบบชาวตะวันตก แม้จะมีร่องรอยความเหนื่อยอ่อนจางๆอยู่ใบหน้าที่คงเกิดจากการเดินทาง หากคู่หมั้นของหล่อนยังคงมีบรรยากาศของคนที่มีอำนาจเหนือคนอื่นอยู่รอบกายเหมือนเคย

 

เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้หล่อนใช้คำว่าอะไรกัน

 

คำว่า…คู่หมั้น?

 

โอ๊ย ให้ตายสิเอเลน่า

 

หญิงสาวปัดความคิดไร้สาระออกจากหัวแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับคนอื่นในห้อง ยกเว้นเลดี้วอลเลซที่ยังคงนั่งอยู่เหมือนเดิม หล่อนกับซาช่าทำความเคารพให้เขาตามมารยาท สแตนลีย์แสดงกิริยาเชิงเดียวกันตอบ เขาไพล่แขนทั้งสองข้างไว้ที่ข้างหลัง ขณะที่หล่อนยังไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร แม่ทัพก็พูดขึ้นมาก่อนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆบนหน้า

 

“มายเลดี้”

 

“มายลอร์ด” หล่อนตอบกลับทันทีราวกับเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ “ท่านมาถึงก่อนที่ข้าจะส่งจดหมายไปหาเสียอีก”

 

รอยยิ้มของเขาขยับกว้างขึ้น “ข้ารีบเดินทางมาทันทีหลังจากที่แยกกับองค์ราชาและองค์ราชินี”

 

เอเลน่าอ้าปากจะถามต่อ แต่คุณย่าเล็กผู้น่ารักของหล่อนขัดขึ้นมาก่อน “เอเลน่า ใจคอจะไม่แนะนำพวกเราให้ว่าที่สามีในอนาคตของหลานรู้จักเลยหรือ”

 

หล่อนหันไปทำหน้างอใส่ “ข้าควรจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของคนที่เพิ่งเดินทางมาถึงก่อนไม่ใช่หรือคุณย่า

 

คุณย่าเล็กทำสีหน้าอย่างเดียวกับหล่อนกลับแทนตอบ แต่มันทำให้เอเลน่าอดยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้ หล่อนทำตามคำพูดของนางด้วยการแนะนำญาติๆของตนที่อยู่ภายในห้องให้สแตนลีย์รู้จัก รวมไปถึงเฮย์เดน สามีของญาติสาวที่ไม่ได้อยู่ในห้อง

 

“เฮย์เดนพาเอ็มม่ากับโนอาห์ไปหาเพื่อนๆน่ะ เดี๋ยวสักพักก็คงกลับมาล่ะมั้ง” ซาช่าเสริมให้ หล่อนเชิญให้เขานั่งลงตรงเก้าอี้นวมที่เอเลน่านั่งอยู่ ก่อนที่จะกลับไปวุ่นวายกับการเตรียมน้ำชาอีกรอบ หล่อนสังเกตใบหน้าเปื้อนยิ้มจางๆของคู่หมั้นที่อยู่ห่างจากตนไม่มากนัก แล้วจึงลงความเห็นกับตัวเองว่าเขาทำหน้าตาให้ดูเป็นเด็กดีเก่งชะมัด

 

แม้จะรู้ถึงสาเหตุ แต่มันกลับทำให้หล่อนรู้สึกหงุดหงิดอย่างประหลาด

 

บางทีเธอคงคิดไปเอง

 

“ชาสักหน่อยมั้ย มายลอร์ด” เลดี้วอลเลซเริ่มต้น แต่นางไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะว่าซาช่าส่งถ้วยชาให้เขาไปแล้วอย่างรู้หน้าที่ หญิงสาวอดขำอยู่ในใจไม่ได้เมื่อเห็นสแตนลีย์จำต้องรับถ้วยชามา “เอเลน่ากำลังเล่าเรื่องของท่านให้ฟังพอดีเลยตอนที่ท่านมาถึงน่ะ”

 

“ข้าคงเข้ามาได้จังหวะพอดี” เขาว่า น้ำเสียงเจือกระแสหัวเราะ “เจ้าพูดถึงข้าไปอย่างไรบ้างน่ะ มายเลดี้ ข้ายังมีโอกาสแก้ตัวในบางเรื่องได้อยู่หรือเปล่า”

 

“ข้าแค่เพิ่งจะบอกแค่ว่าท่านเป็นใครมาจากไหนเอง มายลอร์ด” เอเลน่าพูด หันไปขอบคุณซาช่าที่ช่วยรินชาในถ้วยที่ว่างเปล่าของหล่อนให้

 

“เพราะฉะนั้นข้าจึงคิดว่าถามกับตัวท่านเองเลยคงดีกว่า” คุณย่าของหล่อนว่า รอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นดูจะกว้างขึ้นกว่าเดิมเสียอีก “เริ่มจากที่ว่าท่านไปเจอกับนางยังไงเลยดีมั้ย อ้อ นางบอกมาแล้วว่านางเจอกับท่านที่ใต้ นี่หลานตกหลุมรักตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือเปล่า เอเลน่า”

 

คนถูกถามผู้ที่กำลังจิบน้ำชาอยู่ถึงกับสำลัก หล่อนยังไม่ทันจะได้พูดแก้ตัวด้วยซ้ำเมื่อคุณย่าเล็กของหล่อนพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจสุดๆ เอเลน่าได้แต่มองค้อนแบบทำอะไรไม่ได้ ในขณะที่คนข้างตัวเพียงหัวเราะ แต่เขาไม่ได้เย้าแหย่หล่อนอย่างเคย

 

บทสนทนาดำเนินไปโดยที่อนาสตาซีย่าเป็นผู้พูดเสียส่วนใหญ่ มีบ้างที่มิชาหรือซาช่าจะเอ่ยแทรกบ้าง ในขณะที่เอเลน่าเลือกที่จะเงียบ หล่อนรู้ว่าสแตนลีย์จะไม่พูดอะไรมากถ้าหากไม่ได้ถูกถามหรือไม่จำเป็น เขาเพียงยิ้ม หัวเราะ และกล่าววสานต่อให้บทสนทนาดำเนินต่อไปได้ ซึ่งตอนนี้มันชักเริ่มเกี่ยวกับตัวหล่อนมากกว่าตัวเขาเสียอีก

 

ให้ตาย นี่เขาตั้งใจจะทำตัวเป็นเด็กดีผู้แสนน่ารักอย่างนี้ไปตลอดหรือเปล่า

 

แต่ก็แน่ล่ะ หล่อนก็คงไม่อยากให้ความประทับใจแรกที่คนอื่นมีต่อตัวเองคือยัยตัวร้ายช่างจิกกัดหรอก จริงไหม หล่อนเข้าใจยิ่งกว่าเข้าใจเสียอีกว่าทำไมเขาถึงทำตัวเรียบร้อยขนาดนี้ต่อหน้าคุณย่าของหล่อน นี่เขาได้ใจของเลดี้วอลเลซไปเต็มๆแล้วด้วยมั้ง ดูคุณย่าของหล่อนทำหน้าเข้าสิ

 

“…จะว่าไป เซอร์ฟรายเดย์” มิชาพูดขึ้นหลังจากที่เงียบมาพักใหญ่ “ข้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเมืองใต้มาเยอะ โดยเฉพาะเรื่องความป่าเถื่อนของที่นั่น”

 

แม่ทัพดูนิ่งไป อะไรบางอย่างที่ใกล้เคียงกับคำว่าเสียใจแสดงออกชัดเจนบนใบหน้าของเขา

 

“เอาเถอะ พอมองจากมุมมองของคนนอก ยังไงข้าก็คงไม่มีทางเข้าใจเรื่องขนบธรรมเนียมของที่นั่นหรอก เข้าประเด็นเลยจะดีกว่า” มิชาเว้นระยะเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “เอลลี่เป็นน้องสาวของพวกเรา น้องสาวที่ทั้งข้าและซาช่ารักมาก ข้าดีใจที่นางได้เจอคนที่นางรัก และเชื่อว่าท่านจะดูแลนางได้ แต่ว่า…”

 

มิชาหยุดพูดไปเสียเฉยๆ

 

หล่อนมองสแตนลีย์วางถ้วยชาที่เขาถือไว้เฉยๆจนมันเย็นชืดลงบนโต๊ะ

 

“เซอร์วอลเลซ ข้าเข้าใจถึงสิ่งที่ท่านต้องการจะพูด” เขากล่าว “ข้าเคยให้สัญญากับองค์ราชินีของนางว่าจะรัก จะดูแลนางให้ดีที่สุด และถ้าหากนั่นคือสิ่งที่ท่านกังวลอยู่ ข้าก็ขอให้ท่านวางใจได้ ข้ารักษาคำพูดของข้าเสมอ”

 

ดวงตาสีเขียวของเขาหันมาสบกับหล่อนชั่วครู่

 

เอเลน่ารู้สึกถึงความวูบไหวในอกเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา แม้หล่อนจะเคยได้ยินมันมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม หากมันยังคงสร้างความปั่นป่วนในใจของหล่อนได้เสมอ หล่อนหลุบตาลง คาดหวังว่าเขาจะสัมผัสที่มือหล่อน หรืออะไรสักอย่างที่แสดงถึง…ความรักใคร่

 

แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเพียงแค่เบือนสายตากลับไปยังคู่สนทนา และหล่อนกำลังยิ้มน้อยๆราวกับคนโง่

 

บางครั้งหล่อนก็เกลียดจินตนาการราวกับเด็กสาวของตนเองนัก

 

หล่อนคาดหวังอะไรอยู่กันแน่

 

“ดี” มิชาลงเสียงหนัก ยิ้มเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาในห้อง “ข้าเชื่อว่าท่านจะไม่ทำให้นางเสียใจ แต่ถ้าหากมีวันนั้นขึ้นมา และต่อให้ท่านเป็นใครก็ตาม…พวกเราไม่อยู่เฉยกับใครก็ตามที่ทำร้ายความรู้สึกของนางแน่ๆ”

 

บรรยากาศภายในห้องดูผ่อนคลายลงทันที ซาช่ายิ้มน้อยๆและตีที่แขนของพี่ชายเบาๆเป็นเชิงปราม ในขณะที่เอเลน่ายังเลือกที่จะไม่พูดอะไรเช่นเดิม

 

“ท่านแม่ทัพไม่ใช่คนที่หลานจะขู่ได้ง่ายๆเสียหน่อย มิชา” เลดี้วอลเลซหัวเราะ “ไม่ต้องถือเป็นจริงเป็นจังนักละ มายลอร์ด แค่ลองคิดเล่นๆว่าท่านชอบสัตว์อะไรบ้างก็พอ”

 

…นั่นไม่ได้เรียกว่าขู่ใช่ไหม

 

 

※※※※※※※※

 

 

สแตนลีย์เอ่ยขอตัวไปจัดการธุระเมื่อเวลาผ่านคล้อยเข้าช่วงบ่าย แต่เขาสัญญาว่าจะกลับมาภายในเวลาอาหารเย็นที่เลดี้วอลเลซเอ่ยปากชวนแกมบังคับให้เขามาร่วมด้วย แม้เขาจะบอกว่าตนไม่รับประทานเนื้อสัตว์ หญิงชรายืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร แม่ทัพตอบตกลง

 

และหน้าที่ของการจัดเตรียมมื้อค่ำก็ตกลงมาที่หล่อนกับซาช่า เอเลน่าใช้เวลาระหว่างการจัดเตรียมมื้อเย็นไปกับการคุยกับญาติสาว ถามไถ่ถึงสุขภาพของเลดี้วอลเลซ เรื่องของหลานๆ ไปถึงเรื่องสัพเพเหระต่างๆ อาหารทั้งหมดถูกจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยพอดีเมืื่อเฮย์เดนและลูกๆกลับมาถึงบ้าน และสแตนลีย์มาถึงหลังจากนั้นไม่นานนัก

อาหารเย็นผ่านไปอย่างราบรื่น มิชาขอตัวแทบทันทีเมื่อมื้ออาหารเสร็จสิ้้นลง ส่วนเลดี้วอลเลซเรียกเด็กชายเด็กหญิงผู้เป็นเหลนที่เกาะติดเอเลน่าราวกับลูกลิงให้กลับไปหาพ่อแม่ ก่อนที่นางจะหันมาบอกว่าตนต้องไปพักผ่อนและได้กล่าวคำอำลาล่วงหน้ากับแขกที่นางเชิญมาเอง

 

เอเลน่ารอให้คู่หมั้นของเธอลาเลดี้วอลเลซเสร็จ หล่อนเอ่ยชวนเขาออกไปเดินเล่นบริเวณข้างนอก สแตนลีย์ไม่ได้ปฏิเสธคำชวนของหล่อน เขาหยิบเสื้อคลุมมาสวม ส่วนเธอห่มตัวเองด้วยผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ก่อนเดินออกจากบริเวณตัวบ้าน มือคว้าตะเกียงโคมเล็กติดมาด้วย

 

ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิทหากพร่าพรายไปด้วยดวงดาว ทั้งสองผ่านเข้าไปยังตัวสวนที่กลมกลืนไปกับตัวป่ารอบข้างอย่างไม่ขัดตา เอเลน่าเดินช้าๆอย่างไม่เร่งรีบจนกระทั่งต้นไม้รอบๆเริ่มบางตาลง และมีต้นโอ๊คใหญ่ที่โดดเด่นขึ้นมา เสียงของน้ำที่ไหลเอื่อยในลำธารแจ่มชัดท่ามกลางความเงียบของยามกลางคืน

 

หล่อนสาวเท้าไวขึ้นแล้วตรงไปยังชิงช้าเล็กๆที่ประกอบขึ้นจากแป้นไม้และเชือกฟางเส้นใหญ่ผูกไว้กับกิ่งที่แข็งแรงของตัวต้นโอ๊ค หญิงสาวรีบนั่งลงราวกับกลัวว่าจะถูกแย่งไป วางตะเกียงในมือลงบนพื้นดิน ในขณะที่สแตนลีย์เพียงแค่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ดูขบขันกับกิริยาราวกับเด็กหญิงของหล่อน

 

“…ญาติๆของข้าทำให้ท่านต้องเหนื่อยหรือเปล่า” หล่อนถาม ไกวชิงช้าเบาๆ มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด

 

เขายิ้มน้อยๆ “ไม่เลย มายเลดี้ พวกเขาต้อนรับข้าดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก”

 

“สงสัยจริงๆว่าท่านจินตนาการอะไรเอาไว้ก่อนหน้านี้น่ะ”

 

“ข้านึกว่าตัวเองจะถูกทำให้กลายเป็นกบเสียอีก”

 

เอเลน่าเลิกคิ้ว “ทำไมท่านถึงคิดอย่างนั้น? ไม่คิดหรือว่าบางทีนางอาจจะอยากเปลี่ยนท่านเป็นอย่างอื่นก็ได้นะ”

 

เขาทำสีหน้าปั้นยากที่ทำให้หล่อนแทบกลั้นขำไม่อยู่ ชายหนุ่มกระแอมแล้วจึงเปลี่ยนประเด็น

 

“แล้วญาติของเจ้าคนนั้นล่ะ มิสสมิธน่ะ นางเองก็เป็นเหมือนกับเจ้าหรือเปล่า” สแตนลีย์ถามพลางเอนตัวพิงกับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ เขาดูผ่อนคลายลงกว่าตอนที่ยังอยู่กับญาติๆของเธอ

 

“ซาช่าน่ะหรือ เปล่าหรอก” หล่อนส่ายหน้า “แม่มดน่ะไม่ได้มีกันเยอะขนาดนั้นหรอกนะ มายลอร์ด ถ้าไม่นับคุณย่าใหญ่กับคุณย่าเล็ก…แล้วก็องค์ราชินีของตะวันตก ข้าก็ไม่รู้จักใครอื่นที่เป็นเหมือนกับตัวเองเลย”

 

แม่ทัพพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “เจ้ากับนางดูสนิทกันมาก”

 

“พวกเราโตมาด้วยกันนี่นา” เอเลน่าพูด “ตอนที่ข้ามาจากเหนือช่วงแรกๆก็ได้ซาช่าเนี่ยแหละช่วยอะไรหลายๆอย่าง อีกอย่างเมื่อตอนนั้นพวกเด็กๆก็มีแค่ข้ากับนางแค่สองคนเท่านั้นเอง…มิชาด้วยอีกคน แล้วพอถึงเวลาที่ข้าย้ายกลับเหนือ นางก็ร้องไห้เสียยกใหญ่จนตาแดงไปหมด”

 

เขาไม่ได้พูดอะไรเมื่อหล่อนหยุด ราวกับกำลังรอให้หล่อนเล่าเรื่องของตนต่อ เอเลน่ากระชับผ้าคลุมไหล่แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

 

“คุณย่าเล็กพาข้ามาที่นี่หลังงานศพของแม่จบลง…อันที่จริง นางตั้งใจจะไม่ให้ข้ากลับไปที่เหนือแล้วหรอก นางบอกว่าข้าจะพบแต่ความสูญเสีย แต่ว่าข้ายืนยันจะกลับไปให้ได้ ช่วงที่เรียกว่าวัยต่อต้านล่ะมั้ง” หล่อนหัวเราะเบาๆ “แต่พอกลับไปถึง ท่านลุงก็บอกว่าพี่ชายของข้า…หายสาบสูญไป ในตอนนั้นข้าอดคิดไม่ได้ว่าคุณย่าเล็กช่างสมกับเป็นแม่มดจริงๆ”

 

หล่อนเงียบไป เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่ส่องประกายลงมาอย่างอ่อนโยน

 

“…ข้าเสียใจด้วย” สแตนลีย์ว่า ทำลายความเงียบที่เธอสร้างขึ้น หล่อนหันไปยิ้มน้อยๆเป็นเชิงขอบคุณแล้วชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า เรียกให้สายตาของเขามองตามทิศทางการชี้ของนิ้วเรียว

 

“ที่เหนือ เราเชื่อว่าคนที่เรารักจะไม่ไปไหน แต่พวกเขาจะคอยมองดูเราจากข้างบนนั้น” หล่อนประสานมือของตนไว้บนหน้าตัก หากสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เดิม “แม้ในเวลาที่มืดมิดที่สุดก็ตาม พวกเขาก็จะอยู่กับเรา”

 

เอเลน่ารู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมายังตน หล่อนหันไปสบดวงตาสีเขียวของเขาตอบ ยิ้มเล็กๆอย่างไม่มั่นใจ

 

“ขอโทษที…ข้าทำให้ให้ท่านเบื่อหรือเปล่า”

 

“ไม่เลย มายเลดี้” เขาตอบ “ดีเสียอีก เพราะวันนี้ท่านแทบไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ”

 

เอเลน่าเผลอเม้มปากน้อยๆกับคำที่เขาใช้กับเธอ เขายังคงเรียกขานหล่อนด้วยคำว่ามายเลดี้เหมือนเดิม คำที่เป็นเหมือนการบังคับให้หล่อนใช้คำพูดระดับเดียวกันในการตอบกลับ ราวกับความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

 

หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงตื่นเต้นกับคำว่าคู่หมั้นหรือคำว่าแต่งงานขนาดนั้น ในเมื่อในตอนนี้…

 

หล่อนกำลังคาดหวังอะไรอยู่กันแน่

 

คาดหวังถึงคำหวาน คาดหวังถึงการสัมผัสที่ใกล้ชิดสนิทสนม หรือการแสดงออกถึงความรักใคร่?

ไม่ใช่ หล่อนรู้ว่าการได้ฟังคำเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่หล่อนหรือต้องการ การสัมผัส…เอาเถอะ จริงๆการจับมือก็คงไม่ใช่สิ่งที่ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น แต่ในเมื่อสแตนลีย์ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน หล่อนก็ไม่กล้าพอที่จะทำอะไรพวกนั้นเองก่อน

 

แล้วอะไรกันที่กำลังรบกวนจิตใจของหล่อนอยู่

 

หล่อนเบือนสายตาหลบจากใบหน้าของเขาก่อนค่อยๆลุกขึ้นยืนจากชิงช้า มือเรียวหยิบตะเกียงที่ตนวางเอาไว้ขึ้นมาจากพื้นดิน

 

“ชักเริ่มดึกแล้ว มายลอร์ด ท่านควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

 

เขาพยักหน้า ครั้งนี้หล่อนไม่ได้เดินนำเหมือนเมื่อตอนขามา แต่เดินเคียงไปกับเขาไปถึงคอกม้า สแตนลีย์ไม่ได้บอกว่าเขาพักที่ไหน แต่เอเลน่าจำได้ว่ามีที่พักที่ค่อนข้างสะดวกสบายในระดับหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณนี้ หล่อนเดาว่าบางทีเขาคงพักที่นั่น

 

“เจ้าจะอยู่ที่ตะวันตกถึงเมื่อไหร่” สแตนลีย์ถามหลังจากที่จัดการให้ตัวเองขึ้นไปอยู่บนหลังของม้าแล้ว

 

“คงถึงมะรืนนี้ แล้วข้าก็จะเดินทางกลับเหนือ” หล่อนตอบ เลิกคิ้วน้อยๆด้วยความสงสัย “ทำไมหรือ?”

 

“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้า “ราตรีสวัสดิ์ มายเลดี้ ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาหาอีก”

 

หล่อนอ้าปากจะท้วง แต่นึกได้ว่าน้ำเสียงของเขาไม่ใช่คำขอ มันคือคำสั่ง

 

“ราตรีสวัสดิ์ มายลอร์ด ระวังตัวด้วย” เอเลน่าเอ่ยตอบแล้วยอบตัวลงถอนสายบัวให้

 

เขาค้อมศีรษะให้น้อยๆให้เธอแล้วจึงควบม้าออกไป ไม่กี่อึดใจนักหล่อนก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าม้าค่อยๆเบาลง หญิงสาวเดินเข้าตัวคฤหาสน์ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเดินไปยังห้องนอนของตนเอง เลิกใส่ใจกับสิ่งที่ก่อกวนหล่อนมาตลอดทั้งวันด้วยข้อสรุปของตนเอง

 

ว่าสำหรับหล่อนแล้ว เขานี่ช่างคาดเดาเอาไม่ได้เสียจริงๆ

 

 

 

 

{ end }

 

 

 

 

 

 

เขียนจบแล้วววว น้ำตาไหล เขียนตั้งแต่ช่วงBegin Againเข้าจนตอนนี้…../คริสต์มาสละ/ซับ

อันทีี่จริงตอนนี้อยากเขียนเพราะคิดถึงอะไรดาวๆ…แบบมันคงโรแมนติคน่าดูเลยนะ แต่สุดท้ายคืออะไร…..

2 comments

  1. อ่านไปขำไป #อ่านด้วยอินเนอร์ ถ้าในเรื่องพุดดิ้งไม่ขำกึกๆๆ มันคงกำลังกลั้นขำมากแน่ๆ … /โก้ตบ พอมาอ่านแบบนี้แล้วรู้สึกดิ้งมันก็เฉยจริงแฮะ… /ตอนแต่งเองรู้สึกว่ามันก็มีมุ้งมิ้งแม้ไม่ได้แตะต้องตัวกัน ขอโทษนะที่ทำให้โก้อดเรต /ซับนั้มตางื้ด

    แต่สุดท้ายเราก็ผ่านด่านคุณย่า! คุณย่าก็จะไปงานแต่งงานด้วยใช่ไหม

    ว่าแต่ดิ้งมันไปทำธุระอะไรที่ตะวันตก… ไปหาควีนให้ควีนแกล้งสินะ

    1. อดเรทคืออะไรกันนนนนนนนนนนน เค้าไม่ได้ลามกขนาดนั้นน้าาาา (ノД`)

      จริงๆเอลมันเป็นพวกไม่ค่อยชอบความคลุมเครือด้วยล่ะมั้งนะ…ถ้าไม่แสดงออกอะไรมากมันก็จะตีความไปเองไกลเลย แต่ก็ไม่พูดอะไรอยู่ดีแหละนะ

      ส่วนคุณย่าต้องไปสิ! งานแต่งหลานสาวนะะะะ

Comment